การยุติวงจรดอกเบี้ยขาขึ้นของสหรัฐและยูโรโซนเผชิญความท้าทายมากขึ้น ด้านความเสี่ยงในจีนอาจส่งผลกระทบมายังเศรษฐกิจในเอเชีย

 


เศรษฐกิจโลก

การยุติวงจรดอกเบี้ยขาขึ้นของสหรัฐและยูโรโซนเผชิญความท้าทายมากขึ้น ด้านความเสี่ยงในจีนอาจส่งผลกระทบมายังเศรษฐกิจในเอเชีย



สหรัฐ-เฟดส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยต่ออีกหนึ่งครั้งในการประชุมรอบหน้า พร้อมปรับเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจ (GDP) ปีนี้ หนุนภาพการฟื้นตัวแบบ goldilocks ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 5.25-5.50% สูงสุดในรอบ 22 ปี ขณะที่การคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย เฟดส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง สู่ระดับ 5.6% ภายในสิ้นปีนี้ และส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้งสู่ระดับ 5.1% ในช่วงสิ้นปี 2567 และลดลงสู่ 3.9% ในช่วงสิ้นปี 2568 สำหรับตัวเลขคาดการณ์ GDP ในปีนี้ปรับขึ้นเป็นขยายตัว 2.1% จากเดิมคาด 1.0% ด้านยอดขายบ้านมือสองในเดือนสิงหาคมลดลง 0.7% MoM สู่ระดับ 4.04 ล้านยูนิต ขณะที่ในเดือนกันยายน ดัชนี PMI ภาคบริการเบื้องต้นลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 8 เดือนที่ 50.2 จากเดือนก่อนหน้าที่ 50.5 ส่วนดัชนี PMI รวมภาคบริการและการผลิตเบื้องต้นอยู่ที่ 50.1 ชะลอลงจาก 50.2

 

แม้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มโตชะลอลงแต่คาดไม่แย่ถึงขั้นถดถอยแรงจากดัชนีชี้วัดตลาดแรงงานที่ยังคงแข็งแกร่งซึ่งหนุนให้การเติบโตทางเศรษฐกิจมีแนวโน้มดีกว่าคาดทั้งในปีนี้และปีหน้า ในขณะที่แรงกดดันเงินเฟ้อแม้อยู่ในทิศทางชะลอตัวแต่ก็ยังคงสูงกว่ากรอบเป้าหมายของเฟดที่ 2% อย่างไรก็ตาม การตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับสูงนานเกินไปเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ถ่วงเศรษฐกิจให้มีโอกาสซึมยาวและอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเข้าสู่ภาวะถดถอยได้ในอนาคต ทั้งนี้ผลการประชุม FOMC ครั้งล่าสุด เฟดยังเปิดโอกาสที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกหนึ่งครั้งที่ 0.25% สู่ระดับ 5.50-5.75% ในการประชุมช่วงครั้งสุดท้ายของปีนี้ ก่อนที่จะคงไว้ที่ระดับสูงนานจนกว่าจะมั่นใจได้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะชะลอตัวลงสู่กรอบเป้าหมายที่ 2% ในระยะยาว

 


ยูโรโซน-แรงกดดันเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูงและภาพรวมเศรษฐกิจที่อ่อนแอมากขึ้นสร้างความไม่แน่นอนต่อทิศทางนโยบายการเงินของ ECB ในเดือนสิงหาคม อัตราเงินเฟ้อทั่วไปชะลอลงเล็กน้อยสู่ 5.2% YoY จากเดือนก่อนที่ 5.3% ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานชะลอลงสู่ 5.3% จากเดือนก่อนที่ 5.5% ในเดือนกันยายน ความเชื่อมั่นผู้บริโภคอยู่ที่ -17.8 หดตัวเร่งขึ้นจากเดือนก่อนที่

-16.0 ขณะที่ดัชนี PMI รวมภาคบริการและการผลิตเบื้องต้นเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 47.1 จากระดับต่ำสุดในรอบ 33 เดือนที่ 46.7 ในเดือนก่อนหน้า แต่ยังคงอยู่ในโซนหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ส่วนดัชนี PMI ภาคบริการเบื้องต้นเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 48.4 จากเดือนก่อนหน้าที่ 47.9 หดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน

 

ผลจากนโยบายการเงินที่เข้มงวดและเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงยังคงเป็นปัจจัยถ่วงการเติบโตของยูโรโซนต่อเนื่องสะท้อนผ่านภาพรวมตัวเลขเศรษฐกิจที่มีทิศทางอ่อนแอลงซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างมีนัยสำคัญในช่วงครึ่งหลังปี 2566 สะท้อนจากการบริโภคและความเชื่อมั่นของภาคเอกชนที่หดตัวลง ขณะที่ในการประชุมนโยบายการเงินครั้งล่าสุด แม้ว่า ECB จะส่งสัญญาณยุติวงจรดอกเบี้ยขาขึ้น แต่จากราคาพลังงานโลกที่เร่งตัวขึ้นทำระดับสูงสุดในรอบ 11 เดือน ประกอบกับตลาดแรงงานที่ยังคงตึงตัวสูงอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มลดลงช้ากว่าคาดซึ่งจะเพิ่มความท้าทายต่อการดำเนินนโยบายการเงินของ ECB หลังจากนี้

 


จีน-ธนาคารกลางจีนคงดอกเบี้ยเงินกู้อ้างอิง ขณะที่เศรษฐกิจเริ่มทรงตัวหลังสูญเสียแรงส่งต่อเนื่อง ธนาคารกลางจีน (PBOC) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี (LPR) ประเภท 1 ปีที่ระดับ 3.45% และคงอัตราดอกเบี้ย LPR ประเภท 5 ปีไว้ที่ระดับ 4.20% ในวันที่ 20 กันยายน การคงดอกเบี้ยดังกล่าวสอดคล้องกับเครื่องชี้ทางเศรษฐกิจที่มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นภายหลังชะลอลงต่อเนื่อง อาทิ ยอดค้าปลีก  (+4.6% YoY เดือนส.ค. จาก +2.5% เดือนก.ค.) การผลิตภาคอุตสาหกรรม (+4.5% จาก +3.7%) อัตราการว่างงาน และการปล่อยสินเชื่อ

 

แม้เศรษฐกิจจีนเริ่มทรงตัวท่ามกลางแรงหนุนจากมาตรการต่างๆ แต่วิกฤตในภาคอสังหาริมทรัพย์ยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญ ด้านมูดีส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส ปรับลดแนวโน้มความน่าเชื่อถือของภาคอสังหาฯจีนลงสู่ “เชิงลบ” จากเดิม “มีเสถียรภาพ” อีกทั้งยังระบุว่าบริษัทพัฒนาอสังหาฯรายใหญ่ China Jinmao Holdings Group และ China Vanke มีแนวโน้มที่จะถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือลง นอกจากนี้ Sunac China Holdings ผู้พัฒนาอสังหาฯของจีน ยื่นเรื่องล้มละลายตามมาตรา 15 ต่อศาลล้มละลายของสหรัฐ โดยภาพรวมแล้ว ปัญหาในภาคอสังหาฯยังอาจกดดันเศรษฐกิจจีนและเอเชียต่อไป ด้าน ADB คาดว่าอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจจีนจะลดลงจาก 4.9% ในปีนี้ สู่ 4.5% ในปีหน้า สำหรับในเอเชีย ADB คาดว่าเศรษฐกิจประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียจะโต 4.7% ในปีนี้ ต่ำกว่าคาดการณ์เดิมที่ 4.8% พร้อมเตือนว่าวิกฤตในภาคอสังหาฯของจีนอาจสร้างความเสี่ยงและส่งผลบั่นทอนการเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาค


เศรษฐกิจไทย

การลงุทนภาคเอกชนปีนี้อาจขยายตัวเล็กน้อย ขณะที่แนวโน้มการขาดดุลทางการคลังที่เพิ่มขึ้นอาจกระทบความเชื่อมั่น

 

การลงทุนภาคเอกชนในปีนี้มีแนวโน้มเติบโตต่ำ ขณะที่สัญญาณการฟื้นตัวของการลงทุนจากต่างประเทศยังไม่ชัดเจน กระทรวงพาณิชย์รายงานว่าภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 มีการอนุญาตให้คนต่างชาติประกอบธุรกิจในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2566 (มกราคม-สิงหาคม) จำนวน 435 ราย (+14%YoY) เงินลงทุนรวม 65,790 ล้านบาท (-21%) โดยประเทศที่เข้ามาลงทุนที่สำคัญ ได้แก่ ญี่ปุ่น (99 ราย เงินลงทุน 21,981 ล้านบาท) สิงคโปร์ (72 ราย, 13,995 ล้านบาท) สหรัฐ (71 ราย, 3,070 ล้านบาท) จีน (31 ราย,  11,851 ล้านบาท) และฮ่องกง (19 ราย, 5,359 ล้านบาท)

 

การลงทุนภาคเอกชนในช่วงครึ่งแรกของปีที่เติบโตเล็กน้อยเพียง 1.8% YoY ขณะที่เครื่องชี้การลงทุนภาคเอกชนในช่วงครึ่งหลังของปียังมีสัญญาณฟื้นตัวอย่างช้าๆ สะท้อนจากดัชนีการลงทุนภาคเอกชนในเดือนกรฏาคมแม้ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนแต่ยังคงเติบโตต่ำเพียง 1.4% YoY กอปรกับข้อมูลการขออนุญาตประกอบธุรกิจจากต่างด้าวเฉพาะในเดือนสิงหาคมมีมูลค่า 6,840 ล้านบาท ชะลอลงจาก 10,023 ล้านบาท ในเดือนก่อนหน้า และยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในช่วง 7 เดือนแรกของปีที่ 8,421 ล้านบาท ท่ามกลางความไม่แน่นอนของนโยบายด้านการลงทุนและความล่าช้าของพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ที่จะกระทบต่อโครงการลงทุนใหม่ๆ ของรัฐ นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยลบจากภาคส่งออกที่หดตัวต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายของปีก่อน โดยรวมทั้งปี 2566 คาดว่าการลงทุนภาคเอกชนของไทยจะเติบโตเพียง 2.0% จากขยายตัว 5.1% ในปี 2565

 

ความกังวลเสถียรภาพทางการคลังของไทยทวีขึ้น ต่างรอความชัดเจนจากนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต  โดยล่าสุดนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลังเผยเตรียมเสนอคณะรัฐมนตรีในวันที่ 26 กันยายนนี้ พิจารณาจัดตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์ดิจิทัลวอลเล็ด (ประกอบด้วยหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกด้าน ตั้งแต่กระบวนการทำงาน การใช้จ่ายเงินดิจิทัล กระบวนการตรวจสอบ การป้องกันทุจริตและตรวจสอบ ประเมินผลการทำงาน) เพื่อหวังขับเคลื่อนโครงการได้ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567

 


หนึ่งในนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลชุดใหม่เพื่อสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจไทยปี 2567 ผ่านมาตรการกระตุ้นการบริโภคด้วยนโยบายการแจกดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทต่อคน ด้วยวงเงินสูงถึง 5.6 แสนล้านบาท สร้างความกังวลอาจสร้างภาระทางการคลังที่มีแนวโน้มขาดดุลสูงขึ้น กระทบต่อเสถียรภาพทางการคลังที่เคยเป็นจุดแข็งของเศรษฐกิจไทย อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการปรับอันดับความน่าเชื่อถือในระยะข้างหน้า ด้านบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือทั้งฟิทซ์ เรตติ้ง และมูดีส์ เตือนว่านโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่อาจทำให้ระดับหนี้สาธารณะของไทยเพิ่มสูงขึ้นอาจทำให้ฐานะการคลังอ่อนแอลง จึงบั่นทอนความเชื่อมั่นและเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เงินทุนไหลออกในระยะนี้ โดยในช่วง 22 วันแรกของเดือนกันยายนปีนี้ นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในตลาดพันธบัตรกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท ต่อเนื่องจากเดือนก่อนที่ขายสุทธิกว่า 3.6 หมื่นล้านบาท ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวแตะระดับ 36.32 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าสุดในรอบ 10 เดือน


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เมืองไทยประกันชีวิต ส่งมอบความสุขและรอยยิ้ม พาคณะผู้สูงอายุจากเขตห้วยขวาง และโรงเรียนผู้สูงอายุเขตดินแดง เข้าร่วมชมงาน “101 ปี พระราชวังพญาไท” THE GLORY OF SIA

เมืองไทยประกันชีวิต ส่งมอบความสุขและรอยยิ้ม พาคณะผู้สูงอายุจากเขตห้วยขวาง และโรงเรียนผู้สูงอายุเขตดินแดง เข้าร่วมชมงาน “101 ปี พระราชวังพญาไท” THE GLORY OF SIAM

จี๊ป ประเทศไทย เอาใจสาวกรถยนต์พันธุ์แกร่ง จัดกิจกรรม ‘JOC MEET: OUT OF TOWN TO PETCHABURI’ ขับ จี๊ป เที่ยวสุดหรรษา พร้อมสร้างสรรค์สังคมและสิ่งแวดล้อม