ประเทศแกนหลักของโลกให้ความสำคัญมากขึ้นต่อแนวโน้มการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ

 


เศรษฐกิจโลก

ประเทศแกนหลักของโลกให้ความสำคัญมากขึ้นต่อแนวโน้มการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ

 



สหรัฐ-คาดเฟดคงดอกเบี้ยหลังตัวเลขชี้นำทางเศรษฐกิจบ่งชี้ถึงความเสี่ยงต่อการชะลอตัวชัดเจนขึ้น แม้ว่าตัวเลขประมาณการ GDP ไตรมาส 3 ครั้งแรก อยู่ที่ 4.9% QoQ สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของตลาดที่ 4.7% แต่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนตุลาคม ลดลงสู่ 63.8 ต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ส่วนผู้ขอรับสวัสดิการครั้งแรกในสัปดาห์ล่าสุดเพิ่มขึ้นสู่ 2.10 แสนตำแหน่ง ดัชนี Core PCE เดือนกันยายนสอดคล้องกับคาดการณ์ที่ 3.7% YoY แต่ชะลอมากสุดนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2564

 

แม้เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวโดดเด่นในไตรมาส 3/2566 แต่แนวโน้มหลังจากนี้คาดชะลอตัวลงจาก (i) ในเดือนสิงหาคม รายได้ที่แท้จริงของภาคครัวเรือนหลังหักภาษีหดตัวลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่สอง ในขณะที่เงินออมส่วนเกินปรับตัวลงต่ำกว่าระดับก่อนโควิด-19 สะท้อนความสามารถการบริโภคที่มีแนวโน้มชะลอลง (ii) การชะลอตัวที่ชัดเจนมากขึ้นของภาคบริการที่คิดเป็นสัดส่วนกว่า 80% ของ GDP และ (iii) ความเชื่อมั่นผู้บริโภคในช่วง 6 เดือนข้างหน้าปรับตัวลงต่ำกว่าระดับ 80 ซึ่งบ่งชี้ถึงภาวะเศรษฐกิจถดถอย สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ GDP ของสหรัฐที่มีแนวโน้มชะลอลงสู่ 0.8% QoQ ในไตรมาส 4 จาก 4.9% ในไตรมาส 3 (อ้างอิงจาก Bloomberg consensus) ทั้งนี้ จากภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัวและการลดลงของแรงกดดันเงินเฟ้อ วิจัยกรุงศรีประเมินว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 5.25-5.50% ในการประชุมวันที่ 1 พฤศจิกายน

 


ยูโรโซน-การบริโภคและส่งออกที่อ่อนแอ คาดฉุดเศรษฐกิจยูโรโซนหดตัวในไตรมาส 3 ในเดือนตุลาคม ดัชนี PMI ภาคการผลิตอยู่ที่ 43.0 ส่วนดัชนี PMI ภาคบริการอยู่ที่ 47.8 ส่งผลให้ดัชนี PMI รวมหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 อยู่ที่ 46.5 ขณะที่ในเดือนกันยายน ปริมาณเงิน M3 หดตัว 1.2% ส่วนยอดการปล่อยสินเชื่อภาคเอกชนชะลอลงสู่ระดับ 0.8% จากผลของการใช้นโยบายการเงินแบบตึงตัว นอกจากนี้ ธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากไว้ที่ 4.00% โดยเป็นการคงอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2565


ผลจากดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูงรวมถึงภาพรวมเศรษฐกิจของกลุ่มประเทคู่ค้าที่ชะลอตัว โดยเฉพาะจีนที่เป็นตลาดส่งออกหลักของยูโรโซน (มากกว่า 50% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด) จะเป็นปัจจัยกดดันการบริโภค ส่งออก และฉุดรั้งเศรษฐกิจยูโรโซนให้มีแนวโน้มหดตัวลงในไตรมาส 3 ขณะเดียวกัน การหดตัวอย่างต่อเนื่องของปริมาณเงินในระบบรวมถึงการชะลอตัวของสินเชื่อในภาพรวมเป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจยูโรโซนมีความเสี่ยงมากขึ้นต่อการเข้าสู่ภาวะถดถอยในช่วงครึ่งหลังปีนี้ ทั้งนี้ จากแรงส่งทางเศรษฐกิจที่แผ่วลงอย่างต่อเนื่องภายใต้ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ วิจัยกรุงศรีประเมินว่า ECB จะคงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากไว้ที่ระดับ 4.00% ต่อเนื่องจนถึงกลางปีหน้า หรือจนกว่าจะเห็นสัญญาณที่น่าเชื่อถือเพียงพอว่าอัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลงสู่กรอบเป้าหมายที่ 2% อย่างยั่งยืน

 


จีน-จีนออกมาตรการหนุนรัฐบาลท้องถิ่นและเพิ่มขีดความสามารถในการรับมือกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ ขณะที่ภาคอสังหาฯเผชิญวิกฤตต่อเนื่อง คณะกรรมการถาวรของสภาประชาชนแห่งชาติจีน (NPC) อนุมัติการออกพันธบัตรรัฐบาลมูลค่า 1 ล้านล้านหยวน และผ่านร่างกฎหมายที่จะอนุญาตให้รัฐบาลท้องถิ่นได้รับโควต้าในการออกพันธบัตรในปีงบประมาณ 2567 โดย  Bloomberg คาดว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจจีนได้ราว 0.1ppt ในไตรมาส 4 ปีนี้ และอีก 0.5ppt ในปีหน้า ด้านตัวเลขเศรษฐกิจปรับดีขึ้น โดยในเดือนกันยายน กำไรของบริษัทในภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 ที่ 11.9% YoY จากในช่วง 8 เดือนแรก
-11.7% ขณะที่การผลิตภาคอุตสาหกรรมและยอดค้าปลีกขยายตัวดีเกินคาดที่ 4.5% และ 5.5% ตามลำดับ

 

ทางการจีนดำเนินมาตรการพยุงเศรษฐกิจตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกรกฎาคม โดยล่าสุดการอนุมัติการออกพันธบัตรรัฐบาล 1 ล้านล้านหยวน จะส่งผลให้สัดส่วนการขาดดุลงบประมาณต่อ GDP เพิ่มขึ้นสู่ 3.8% จาก 3.0% ซึ่งเป็นการสนับสนุนการบูรณะซ่อมแซมพื้นที่ประสบภัยธรรมชาติ และปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านการระบายน้ำในพื้นที่เขตเมือง ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรับมือกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม ปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ยังสั่นคลอนเศรษฐกิจจีน โดยล่าสุด บริษัทพัฒนาอสังหา Country Garden ประกาศผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้สกุลดอลลาร์เป็นครั้งแรก ด้านตัวเลขการลงทุนในอสังหาฯ ช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ ยังหดตัวต่อเนื่องที่ -9.1% และการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรเติบโตต่ำกว่าคาดที่เพียง 3.1% สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างซึ่งอาจกดดันการเติบโตของจีนในระยะถัดไป

 


เศรษฐกิจไทย

ภาคส่งออกมีสัญญาณฟื้นตัวต่อเนื่องแต่ยังต้องติดตามความเสี่ยง ขณะที่คลังมองเศรษฐกิจไทยในปีหน้าที่ไม่นับรวมมาตรการดิจิทัลวอลเล็ตจะเติบโตที่ 3.2%

 

มูลค่าส่งออกเดือนกันยายนขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ที่ 2.1% วิจัยกรุงศรียังคงคาดการณ์ส่งออกทั้งปีหดตัวที่ 1.5% กระทรวงพาณิชย์รายงานมูลค่าส่งออกเดือนกันยายนอยู่ที่ 25.5 พันล้านดอลลาร์ ขยายตัว 2.1% YoY ดีกว่าที่ตลาดการณ์ว่าจะหดตัวที่ 1.8% และเป็นการเติบโตต่อเนื่องจากเดือนสิงหาคมที่ +2.6% ปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวของตลาดสำคัญ อาทิ จีน ฮ่องกง ไต้หวัน อินเดีย และอาเซียน-5 ประกอบกับความต้องการสินค้าด้านอาหารเพิ่มขึ้น หนุนให้การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรพลิกกลับมาขยายตัวในรอบ 5 เดือน (+12.0%) ขณะที่การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมกลับมาหดตัวเล็กน้อย (-0.3%) สำหรับในช่วง 9 เดือนแรกของปี (มกราคม-กันยายน) มูลค่าการส่งออกของไทยหดตัวที่ 3.8%

 

โมเมนตัมการส่งออกมีสัญญาณดีขึ้นตั้งแต่ปลายไตรมาส 3 และยังมีแนวโน้มที่มูลค่าการส่งออกในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้จะกลับมาขยายตัวได้เป็นไตรมาสแรกในรอบ 1 ปี ตามการทยอยฟื้นตัวของประเทศคู่ค้าในแถบเอเชีย และยังได้อานิสงส์จากผลของฐานที่ต่ำในปีก่อนซึ่งเป็นช่วงที่จีนมีการล็อคดาวน์ อย่างไรก็ตาม การเติบโตในช่วงท้ายปีอาจไม่สามารถช่วยหนุนให้ภาพรวมมูลค่าการส่งออกทั้งปี 2566 เป็นบวกได้ โดยวิจัยกรุงศรียังคงคาดการณ์ว่าจะหดตัว 1.5% นอกจากนี้ ยังต้องติดตามปัจจัยเสี่ยงจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส หากขยายวงกว้างในตะวันออกกลางอาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการค้าโลกและการส่งออกของไทยเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าส่งออกสำคัญของไทยในตลาดตะวันออกกลาง เช่น รถยนต์ อุปกรณ์และชิ้นส่วน และข้าว เป็นต้น ซึ่งไทยมีสัดส่วนการส่งออกสินค้าดังกล่าวคิดเป็นราว 13% และ 14% ของการส่งออกสินค้านั้นๆ ในตลาดโลก


สศค. คาดเศรษฐกิจไทยปี 2567 ที่ยังไม่นับรวมมาตรการดิจิทัลวอลเล็ตจะขยายตัวที่ 3.2% จาก 2.7% ในปีนี้ ล่าสุดสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ได้ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจในปี 2566 ขยายตัวที่ 2.7% (ช่วง 2.2-3.2%) จากเดิมคาด 3.5% เนื่องจากการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวและภาคส่งออกมีแนวโน้มอ่อนแอกว่าคาด สำหรับปี 2567 สศค.คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวที่ 3.2% (ช่วง 2.2-4.2%) จากปัจจัยหนุนของการบริโภคภาคเอกชน ภาคท่องเที่ยวที่ยังเติบโตต่อเนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่คาดว่าจะเดินทางเข้าไทยราว 34.5 ล้านคน การส่งออกที่จะกลับมาขยายตัวได้ 4.4% ซึ่งจะช่วยหนุนการลงทุนภาคเอกชน

 


ตัวเลขคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2567 ที่อัตรา 3.2%  สศค.ระบุว่ายังไม่นับรวมมาตรการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ที่กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาของรัฐบาล ซึ่งล่าสุดมีความคืบหน้าเกี่ยวกับแนวทางในการกำหนดกลุ่มเป้าหมาย โดยอาจปรับจากแนวทางเดิมที่จะให้กับทุกๆ คนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป เปลี่ยนเป็น 3 แนวทางด้วยกันคือ (i) ให้เฉพาะผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ผู้มีสิทธิ 15-16 ล้านคน (ii) ตัดกลุ่มผู้มีรายได้ต่อเดือนเกิน 25,000 บาท และ/หรือมีบัญชีเงินฝากเกิน 1 แสนบาท เหลือผู้มีสิทธิรวม 43 ล้านคน และ (iii) ตัดกลุ่มผู้มีรายได้ต่อเดือนเกิน 50,000 บาท และ/หรือมีบัญชีเงินฝากเกิน 5 แสนบาท ผู้มีสิทธิ 49 ล้านคน ทั้งนี้ ยังต้องติดตามความชัดเจนว่ารัฐบาลจะเลือกแนวทางใด อย่างไรก็ตาม ในเบื้องต้นวิจัยกรุงศรีประเมินว่าผลบวกของมาตรการดังกล่าวต่อเศรษฐกิจจะขึ้นอยู่กับเม็ดเงินใหม่ที่เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ โดยคาดการณ์ว่าจะหนุนให้ GDP บวกเพิ่มขึ้นได้ราว 0.4-1.1% จากกรณีฐานที่ยังไม่นับรวมมาตรการ ทั้งนี้ มีความเป็นไปได้มากขึ้นที่ตัวเลขแรงกระตุ้นต่อเศรษฐกิจอาจโน้มเอียงไปทางขอบล่างของการประมาณการดังกล่าว


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

จี๊ป ประเทศไทย เอาใจสาวกรถยนต์พันธุ์แกร่ง จัดกิจกรรม ‘JOC MEET: OUT OF TOWN TO PETCHABURI’ ขับ จี๊ป เที่ยวสุดหรรษา พร้อมสร้างสรรค์สังคมและสิ่งแวดล้อม

เมืองไทยประกันชีวิต ส่งมอบความสุขและรอยยิ้ม พาคณะผู้สูงอายุจากเขตห้วยขวาง และโรงเรียนผู้สูงอายุเขตดินแดง เข้าร่วมชมงาน “101 ปี พระราชวังพญาไท” THE GLORY OF SIA

เมืองไทยประกันชีวิต ส่งมอบความสุขและรอยยิ้ม พาคณะผู้สูงอายุจากเขตห้วยขวาง และโรงเรียนผู้สูงอายุเขตดินแดง เข้าร่วมชมงาน “101 ปี พระราชวังพญาไท” THE GLORY OF SIAM