บทวิเคราะห์ภาวะเศรษฐกิจและการเงิน (ฉบับวันที่ 29 เมษายน 2568) โดย วิจัยกรุงศรี
เศรษฐกิจโลก
แม้ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนเริ่มมีสัญญาณผ่อนคลายบ้าง
แต่เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวท่ามกลางความเสี่ยงที่เพิ่มสูงขึ้น
สหรัฐ
มุมมองการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯแย่ลง
ท่ามกลางนโยบายกีดกันทางการค้าที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง ด้าน IMF คาดการณ์เศรษฐกิจภายใต้ข้อมูลจนถึงวันที่
4 เมษายน (ซึ่งยังไม่รวมผลของการเลื่อน Reciprocal Tariff 90
วัน) สหรัฐฯจะขยายตัวเพียง 1.8% และ 1.7% ในปี 2568 และ 2569 (จากคาดการณ์เดิมที่ 2.7% และ 2.1% ตามลำดับ) จากความไม่แน่นอนด้านนโยบายเศรษฐกิจและการค้าที่เพิ่มขึ้น รวมถึงภาพรวมอุปสงค์ที่อ่อนแอลง
ขณะที่ประธานาธิบดีให้สัมภาษณ์ว่าสหรัฐฯจะได้รับชัยชนะอย่างสมบูรณ์
หากสหรัฐฯเรียกเก็บภาษีสูงถึง 20-50% ต่อประเทศคู่ค้าภายในเวลา
1 ปีต่อจากนี้
ภายใต้ความเสี่ยงขาลง
(Downside
risk) ที่เพิ่มขึ้นจากความตึงเครียดทางการค้า
ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯยังคงส่งสัญญาณชะลอตัวต่อเนื่อง สะท้อนจาก (i) ความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 ต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม
2565 (ii) อัตราการว่างงานที่สูงขึ้นและค่าจ้างที่โตช้าสุดในรอบ
8 เดือน และ (iii) ดัชนี PMI ภาคบริการที่ขยายตัวชะลอลง
และภาคการผลิตที่ยังคงซบเซา
แม้ว่าการลดอัตราภาษีศุลกากรและการบรรลุข้อตกลงทางการค้าอาจช่วยบรรเทาความเสี่ยงภาวะถดถอย
(Recession) แต่คาดว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯจะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในปีนี้
ด้วยเหตุนี้ วิจัยกรุงศรีคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)
จะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงตั้งแต่ช่วงกลางปีนี้สู่ระดับ 3.50-3.75% ในช่วงสิ้นปี
เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจและผ่อนคลายความตึงตัวทางการเงินในระยะข้างหน้า
ยูโรโซน และญี่ปุ่น
เศรษฐกิจของยูโรโซน
และญี่ปุ่นส่งสัญญาณชะลอตัวชัดเจน
คาดหนุนธนาคารกลางทั้งสองแห่งใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายต่อเนื่อง ภายใต้ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนจากนโยบายการค้าที่สูงขึ้น
IMF คาดการณ์เศรษฐกิจยูโรโซน ขยายตัว 0.8% และ 1.2% ในปี 2568 และ 2569 (จากเดิมที่ 1.0%
และ 1.4% ตามลำดับ)
ขณะที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นคาดว่าจะขยายตัว 0.6% ในปี 2568 และ 2569
(จากเดิมที่ 1.1% และ 0.8% ตามลำดับ)
ซึ่งสอดคล้องกับตัวเลขเศรษฐกิจส่วนใหญ่ที่รายงานออกมาต่ำกว่าคาดในระยะนี้
ภาพรวมเศรษฐกิจยูโรโซนยังอ่อนแอและส่งสัญญาณชะลอตัวมากขึ้น
สะท้อนจาก (i) ความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับลงแรงในเดือนเมษายนสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน
2566 (ii) ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจ (ZEW) ลดลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2565 และ (iii) ดัชนี PMI ภาคบริการกลับมาหดตัวเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน
และภาคการผลิตที่ยังหดตัวต่อเนื่อง ส่วนเศรษฐกิจญี่ปุ่นเผชิญความเสี่ยงที่สูงขึ้น
ทั้งจากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ
รวมถึงแรงกดดันด้านราคาหลังอัตราเงินเฟ้อในกรุงโตเกียว (Tokyo CPI) ปรับเพิ่มขึ้นมากสุดในรอบ 2 ปี
ซึ่งอาจเป็นปัจจัยฉุดรั้งการฟื้นตัวของการบริโภคภายในประเทศ
รวมถึงการลงทุนของภาคธุรกิจได้ในระยะข้างหน้า ทั้งนี้
จากภาพการชะลอตัวที่เด่นชัดมากขึ้นของยูโรโซนและญี่ปุ่น
วิจัยกรุงศรีประเมินว่าธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปสู่ระดับ
1.75% ณ สิ้นปี 2568 จากปัจจุบันที่ 2.25% ขณะที่ ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีแนวโน้มคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ
0.50% ต่อเนื่องไปจนถึงครึ่งปีหลัง
จีน
จีนและสหรัฐฯ
เริ่มผ่อนคลายท่าทีต่อความขัดแย้งทางการค้า
แต่การบรรลุข้อตกลงอาจไม่ได้เกิดขึ้นเร็ว จากการคาดการณ์อ้างอิง (Reference Forecast) ของ
IMF ประเมินว่า GDP จีนในปี 2568 จะเติบโต
4.0% จากเดิมคาด 4.6%
ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงจากสงครามการค้าที่มีแนวโน้มทวีความรุนแรง แม้นายโดนัลด์
ทรัมป์กล่าวอ้างว่า จีนได้เริ่มพูดคุยกับสหรัฐฯ แต่จีนออกมาปฏิเสธข้ออ้างดังกล่าว
นอกจากนี้ จีนประกาศพร้อมตอบโต้ชาติอื่น หากทำข้อตกลงกับสหรัฐฯ
ในรูปแบบที่ส่งผลเสียต่อจีน อย่างไรก็ตาม จีนกำลังเริ่มพิจารณายกเว้นภาษีในอัตรา 125% กับสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ บางรายการ เช่น เคมีภัณฑ์
ท่าทีของจีนและสหรัฐฯ ล่าสุด อาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของการผ่อนคลายความตึงเครียดทางการค้า แต่การเข้าสู่โต๊ะเจรจาและการบรรลุข้อตกลงทางการค้าเพื่อลดภาษีอย่างมีนัยสำคัญนั้น อาจไม่ได้เกิดขึ้นเร็วอย่างที่หลายฝ่ายคาดหวัง วิจัยกรุงศรีประเมินว่า แม้ทั้งสองชาติอาจปรับลดภาษีศุลกากรระหว่างกันลงสู่ระดับราว 60% แต่ผลกระทบยังค่อนข้างมาก โดย GDP และการส่งออกจีนในระยะยาวจะลดลง -0.63% และ -5.71% ตามลำดับ ใกล้เคียงกับกรณีที่เก็บภาษีมากกว่า 100% ซึ่งคาดว่าจะกระทบ GDP -0.75% และการส่งออก -6.08% ตามลำดับ
เศรษฐกิจไทย
แม้การส่งออกของไทยในช่วงไตรมาสแรกเติบโตสูง แต่การปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ
อาจส่งผลให้การส่งออกทั้งปีไม่เติบโต
มูลค่าส่งออกเดือนมีนาคมทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์และขยายตัวสูงสุดในรอบ
3 ปี ท่ามกลางแรงกดดันจากความไม่แน่นอนขอนโยบายการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐ กระทรวงพาณิชย์รายงานมูลค่าส่งออกในเดือนมีนาคมอยู่ที่
29.5 พันล้านดอลลาร์ ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 9 ที่ 17.8% YoY หากหักสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันและทองคำ
มูลค่าส่งออกขยายตัว 15.1%
โดยการส่งออกสินค้าสำคัญที่ขยายตัว อาทิ เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ (+80.2%) แผงวงจรไฟฟ้า (+41.5 %)
ยางพารา (+19.5%)
เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ (+19.1%)
เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ (+17.3%)
และรถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ (+5.6%) ขณะที่การส่งออกในบางกลุ่มหดตัว อาทิ น้ำตาลทราย (-27.7%) ข้าว (-23.4%) และผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง (-15.1%) ด้านตลาดส่งออกพบว่าขยายตัวในทุกตลาดหลัก โดยเฉพาะตลาดสหรัฐฯ
และจีนที่โตสูง 34.3% และ 22.2% ตามลำดับ
สำหรับในไตรมาสแรกของปี 2568 มูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 81.5 พันล้านดอลลาร์ ขยายตัว 15.2%
มูลค่าส่งออกในเดือนมีนาคมที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์
อาจเป็นผลจากปัจจัยชั่วคราวจากการเร่งนำเข้าเพื่อรองรับความไม่แน่นอนของมาตรการภาษีสหรัฐฯ
ซึ่งล่าสุดแม้มีการประกาศเลื่อนการบังคับใช้ภาษีตอบโต้ (Reciprocal tariff) กับประเทศต่างๆ
ออกไป 90 วัน แต่ยังคงเก็บภาษีนำเข้าพื้นฐานที่ 10%
และเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนในอัตรา 145%
ขณะที่จีนโต้กับด้วยการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯในอัตรา 125%
สถานการณ์ดังกล่าวยังมีความไม่แน่นอนสูงในระยะข้างหน้า
โดยเฉพาะเมื่อครบกำหนดระยะเวลาในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม
วิจัยกรุงศรีประเมินในกรณีเลวร้าย
หากไทยต้องเผชิญกับอัตราภาษีนำเข้าตอบโต้ที่ 36% เกิน 6 เดือน
หรือผลจากการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯพบว่าไทยเผชิญอัตราภาษีที่สูงกว่าประเทศคู่แข่ง
เช่น เวียดนาม (อัตราภาษีเดิมประกาศที่ 46%)
จะทำให้ไทยสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน ในกรณีนี้การส่งออกโดยรวมในปี 2568 อาจไม่สามารถขยายตัวได้เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
IMF ประเมิน GDP ไทยปีนี้เติบโตต่ำสุดในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนาในเอเชีย
ด้านวิจัย
กรุงศรีประเมินหากการส่งออกไม่โตในปีนี้ GDP ไทยอาจขยายตัวเพียง
1.5-1.8% กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) รายงานประมาณการอ้างอิง
(Reference forecast) ซึ่งยังไม่ใช่กรณีฐาน (Baseline)
โดยคำนึงถึงมาตรการภาษีนำเข้าที่สหรัฐฯ ประกาศจนถึงวันที่ 4 เมษายน และการตอบโต้จากประเทศคู่ค้า สำหรับมุมมองต่อเศรษฐกิจไทย IMF คาดว่า GDP จะขยายตัวเพียง 1.8% ในปี 2568
และ 1.6% ในปี 2569
เทียบกับประมาณการเดิมที่ 2.9% และ 2.6% ตามลำดับ ทั้งนี้
เป็นอัตราเติบโตต่ำกว่า 2% เพียงประเทศเดียวในกลุ่มอาเซียน
ขณะเดียวกัน IMF ชี้ว่า ASEAN จะได้รับผลกระทบค่อนข้างมากจากนโยบายภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ
เนื่องจากมีความเชื่อมโยงทางการค้ากับจีนและสหรัฐฯ ซึ่งเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากมาตรการภาษีครั้งนี้
วิจัยกรุงศรีประเมินเศรษฐกิจไทยในปีนี้มีแนวโน้มเติบโตต่ำกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ที่
2.7% โดยได้รับทั้งผลกระทบระยะสั้นจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวแล้ว
และยังถูกซ้ำเติมจากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ
เบื้องต้นวิจัยกรุงศรีได้จัดทำประมาณการ GDP ของไทยในปี 2568
ภายใต้ 3 ฉากทัศน์ ได้แก่ (i) หากสหรัฐฯ คงอัตราภาษีนำเข้าพื้นฐานที่ 10% ตลอดทั้งปี คาดว่า GDP ไทยจะขยายตัวที่
2.2–2.4% (ii) หากสหรัฐฯ ใช้มาตรการภาษีตอบโต้ที่ 36%
เป็นระยะเวลา 3–6 เดือน GDP อาจชะลอลงมาอยู่ที่ 1.9–2.1% และ (iii) หากมาตรการภาษีตอบโต้ดำเนินต่อเนื่องเกิน 6 เดือน
หรือหากไทยคู่แข่งประสบความสำเร็จในการเจรจากับสหรัฐฯ จนทำให้อัตราภาษีนำเข้าต่ำกว่าไทย
กรณีดังกล่าว GDP ไทยอาจขยายตัวเพียง 1.5–1.8% ในปีนี้ ทั้งนี้
การจัดทำฉากทัศน์ดังกล่าวสะท้อนความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นในเศรษฐกิจโลก
ซึ่งอาจส่งผลต่อภาคการส่งออก การลงทุน
และความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจไทยตลอดช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้
ข้อมูลเพิ่มเติม
วิจัยกรุงศรี: https://www.krungsri.com/th/research/home
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น