อุทกภัยหาดใหญ่: ตอกย้ำบทบาท คปภ. และความแข็งแกร่งของระบบประกันภัยไทย


 


 

อุทกภัยหาดใหญ่: ตอกย้ำบทบาท คปภ. และความแข็งแกร่งของระบบประกันภัยไทย

 


การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลให้เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติมีความถี่และความรุนแรงมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอุทกภัย ซึ่งกำลังกลายเป็น “ความเสี่ยงเชิงโครงสร้าง” (Structural Risk) ต่อระบบเศรษฐกิจและสังคม เหตุการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2568 ที่สร้างความเสียหายเป็นวงกว้างแก่หลายจังหวัดภาคใต้ของประเทศไทย โดยมีอำเภอหาดใหญ่และพื้นที่ส่วนใหญ่ของจังหวัดสงขลาเป็นศูนย์กลางของผลกระทบ ทำให้บ้านเรือน ร้านค้า รถยนต์ และธุรกิจ SME ต้องหยุดชะงักลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่สำคัญพื้นที่ดังกล่าวถือเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของภูมิภาค




 

คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ได้ประเมินว่าเหตุการณ์ครั้งนี้จะสร้างความเสียหายต่อรายได้ของประเทศในช่วงเดือนธันวาคม 2568 ราว 2-หมื่นล้านบาท หรือประมาณ 0.1 - 0.2% ของ GDP ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยทั้งปีขยายตัวได้เพียง 2% ขณะที่ในปี 2569 ประเมินผลกระทบอาจสูญเสียรายได้สูงถึง หมื่นล้านบาท ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า ภัยพิบัติไม่ได้เป็นเพียงปัญหาเฉพาะพื้นที่ แต่เป็นความเสี่ยงเชิงมหภาค (Macroeconomic Risk) ที่กระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจโดยตรง

 

ในมิติของระบบประกันภัย ความเสียหายจากการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนพบว่าขณะนี้มีการติดต่อยื่นเคลมประกันภัยแล้วมากกว่า 44,000 กรมธรรม์ มูลค่ารวมกว่า 10,840 ล้านบาท แยกเป็นความเสียหายด้านรถยนต์จำนวน 17,000 คัน วงเงินประมาณ 4,400 ล้านบาท และความเสียหายต่อทรัพย์สินจำนวน 26,000 ราย วงเงินประมาณ 6,400 ล้านบาท (ข้อมูลจากแหล่งข่าวระดับสูงในวงการประกันภัย ณ วันที่ ธันวาคม 2568)

 

ถือเป็นอีกบททดสอบความสามารถในการรองรับความเสี่ยงของธุรกิจประกันภัยไทย อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบกับอุทกภัยครั้งใหญ่เมื่อปี 2554 ซึ่งมีค่าสินไหมทดแทนสูงกว่า แสนล้านบาท ความเสียหายในครั้งนี้ยังอยู่ในระดับที่ระบบประกันภัยสามารถบริหารจัดการได้ สะท้อนพัฒนาการด้านการบริหารความเสี่ยงของภาคธุรกิจประกันภัยไทย โดยเฉพาะการใช้กลไกประกันภัยต่อ (Reinsurance) ในการกระจายความเสี่ยงสู่ระบบการเงินระหว่างประเทศ




 

ในเชิงนโยบาย เหตุการณ์อุทกภัยครั้งนี้ยังตอกย้ำความแตกต่างระหว่าง “ความเสี่ยงที่สามารถคาดการณ์ได้” (Predictable Risk) กับ “ความเสี่ยงรูปแบบใหม่” (Emerging Risk) โดยภัยน้ำท่วมสามารถอาศัยข้อมูลสถิติและแบบจำลองพยากรณ์มาบริหารจัดการได้ ต่างจากกรณีโควิด-19 ที่ไม่มีฐานข้อมูลรองรับในเชิงคาดการณ์ ส่งผลให้ธุรกิจประกันภัยเผชิญผลกระทบรุนแรงในวงกว้างภายในระยะเวลาอันสั้น ดังนั้น เหตุการณ์อุทกภัยในครั้งนี้จึงไม่กระทบต่อความมั่นคงของธุรกิจประกันภัยในภาพรวมของประเทศอย่างแน่นอน แต่กลับสะท้อนถึงความพร้อมของภาคธุรกิจประกันภัยไทย

 

บทบาทของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ภายใต้การนำของเลขาธิการ คปภ. “ชูฉัตร ประมูลผล” จึงมีความเด่นชัดในฐานะ “Regulatory Stabilizer” ที่ทำหน้าที่รักษาสมดุลระหว่างเสถียรภาพของระบบประกันภัยและการคุ้มครองสิทธิผู้เอาประกันภัย ตั้งแต่การเรียกประชุมภาคธุรกิจประกันภัยทันทีหลังเกิดเหตุ การกำหนดมาตรฐานกลางการประเมินความเสียหายรถยนต์ การลงพื้นติดตามเหตุการณ์ และเร่งกระบวนการจ่ายสินไหมทดแทน ไปจนถึงการออกคำสั่งนายทะเบียนเพื่อผ่อนคลายภาระทางการเงินแก่ประชาชน ล้วนสะท้อนการใช้นโยบายที่รวดเร็ว ตรงจุด และเหมาะสมกับสถานการณ์วิกฤต

 

อีกทั้งมาตรการซ่อมรถยนต์ที่กำหนดระดับความเสียหาย ระดับ รวมถึงแนวปฏิบัติสำหรับรถไฮบริดและรถยนต์ไฟฟ้า ยังช่วยปรับนโยบายให้สอดรับกับโครงสร้างยานยนต์สมัยใหม่ ลดข้อพิพาท และเพิ่มความชัดเจนในการพิจารณาสินไหม ส่วนมาตรการด้านประกันวินาศภัยและประกันชีวิต ยังสะท้อนแนวคิดการคุ้มครองเชิงสังคมผ่านระบบประกันภัยอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้ผู้ได้รับผลกระทบทุกคนได้รับการช่วยเหลืออย่างเท่าเทียม

 

ในกรณีผู้เสียชีวิต คปภ. มีการดำเนินการเชื่อมโยงฐานข้อมูลระหว่างหน่วยงานเพื่อรวบรวมรายชื่อและเลขบัตรประชาชนเพื่อนำมาตรวจสอบผ่านระบบฐานข้อมูลกลางด้านประกันภัย (Insurance Bureau System) ซึ่งถือเป็นพัฒนาการสำคัญของโครงสร้างพื้นฐานด้าน Digital Insurance Infrastructure ซึ่งช่วยลดความล่าช้า เพิ่มความแม่นยำ และลดภาระของญาติผู้เสียชีวิต ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของรัฐสวัสดิการในสถานการณ์วิกฤต




 

ภาพรวมเหตุการณ์อุทกภัยหาดใหญ่ครั้งนี้ ไม่ใช่เพียงวิกฤตด้านภัยพิบัติ หากแต่เป็น “บททดสอบเชิงนโยบาย” ที่สะท้อนประสิทธิภาพของระบบประกันภัยไทยอย่างแท้จริง ผลลัพธ์ที่ปรากฏชี้ให้เห็นว่า ระบบประกันภัยยังคงทำหน้าที่เป็นกลไกบริหารความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจและสังคมได้อย่างมั่นคง ขณะเดียวกันยังตอกย้ำบทบาทของ คปภ. ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลที่ไม่ได้ทำหน้าที่เพียงเชิงกฎระเบียบ แต่ทำหน้าที่เป็น “กลไกเชิงรุกของรัฐ” ในการคุ้มครองประชาชนและรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินด้านการประกันภัยของประเทศ

 

โดยล่าสุด เลขาธิการ คปภ. “ชูฉัตร ประมูลผล” ได้มอบหมายให้ “อดิศร พิพัฒน์วรพงศ์” รองเลขาธิการด้านกฎหมายและตรวจสอบ สำนักงาน คปภ. แถลงข่าวร่วมกับคณะอนุกรรมาธิการตลาดทุนและธุรกิจประกันภัย วุฒิสภา สมาคมประกันวินาศภัยไทย และสมาคมประกันชีวิตไทย โดย คปภ. ยืนยันว่าธุรกิจประกันภัยไทยมีความมั่นคง มีสภาพคล่องเพียงพอ พร้อมดูแลประชาชนอย่างเต็มที่ และจะติดตามเสถียรภาพของธุรกิจประกันภัยทั้งด้านความมั่นคงและสภาพคล่องอย่างใกล้ชิด เพื่อให้มั่นใจว่าระบบประกันภัยพร้อมดูแลประชาชนผู้เอาประกันภัยอย่างต่อเนื่องจนกว่าสถานการณ์จะกลับสู่ภาวะปกติ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เมืองไทยประกันชีวิต ส่งมอบความสุขและรอยยิ้ม พาคณะผู้สูงอายุจากเขตห้วยขวาง และโรงเรียนผู้สูงอายุเขตดินแดง เข้าร่วมชมงาน “101 ปี พระราชวังพญาไท” THE GLORY OF SIA

เมืองไทยประกันชีวิต ส่งมอบความสุขและรอยยิ้ม พาคณะผู้สูงอายุจากเขตห้วยขวาง และโรงเรียนผู้สูงอายุเขตดินแดง เข้าร่วมชมงาน “101 ปี พระราชวังพญาไท” THE GLORY OF SIAM

จี๊ป ประเทศไทย เอาใจสาวกรถยนต์พันธุ์แกร่ง จัดกิจกรรม ‘JOC MEET: OUT OF TOWN TO PETCHABURI’ ขับ จี๊ป เที่ยวสุดหรรษา พร้อมสร้างสรรค์สังคมและสิ่งแวดล้อม